ตัวอย่างประโยค present simple tense พร้อมคำอธิบายหลักการใช้

สำหรับตอนนี้เรามาเรียนรู้หลักการใช้ Present Simple Tense จากตัวอย่างประโยค Present Simple Tense พร้อมคำอธิบายว่าทำไมเราถึงใช้ประโยคดังกล่าวในสถานการณ์นั้นๆ และสรุปหลักการใช้ Present Simple Tense ไปพร้อมกันด้วยเลยนะคะ

ประโยค present simple tense เป็นประโยคธรรมดาแบบง่ายๆ ที่เราคุ้นเคยและใช้กันบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน เรามาดูตัวอย่างประโยคการใช้ present simple tense ในสถานการณ์ต่างๆ กันโดยเริ่มจากตัวอย่างประโยคแบบง่ายๆ กันก่อนแล้วค่อยๆ ขยับไปดูตัวอย่างประโยคที่มีหลักการใช้ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ดังต่อไปนี้นะคะ

ตัวอย่างประโยค Present Simple Tense ในสถานการณ์ต่างๆ

การใช้ Present Simple Tense พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าในปัจจุบัน ตัวอย่างประโยคเช่น

Good morning, how are you today?
สวัสดียามเช้าค่ะ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีมั๊ย?
I’m fine thank you, and you?
สบายดี ขอบคุณนะ แล้วเธอล่ะ?
I’m fine. Thank you.
สบายดี ขอบคุณ

ตัวอย่างประโยค present simple tense ข้างบนนี่น่าจะเป็นประโยคภาษาอังกฤษประโยคแรกๆ ที่เราได้รู้จักกันใช่ไหมคะ เพราะเป็นคำทักทายที่คุณครูให้พวกเราพูดกันตอนก่อนเริ่มเรียนวิชาภาษาอังกฤษทุกครั้ง เป็นการสนทนากันซึ่งหน้า พูดถึงเรื่องราวในขณะนั้น มีรูปแบบง่ายๆ (simple) และเป็นปัจจุบัน (present) ตามชื่อของมันคือ “Present Simple” นั่นเองค่ะ นี่เป็นหลักการใช้ present simple tense แบบที่ง่ายที่สุดค่ะ

การใช้ Present Simple Tense บอกเล่าถึงความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ตัวอย่างประโยคเช่น

Somsri‘s an English teacher. (Somsri is an English teacher.)
สมศรีเป็นครูภาษาอังกฤษ
She teaches English.
เธอสอนวิชาภาษาอังกฤษ (เป็นการบอกเล่าว่า “เธอเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ” นั่นเอง)

Somchai drives a bus.
เป็นการบอกเล่าว่า สมชายเป็นคนขับรถโดยสาร

จากตัวอย่างประโยค คำกริยาคือ teach มีการผันรูปเป็น teaches และ drive ผันรูปเป็น drives ตามประธานของประโยคที่เป็น 3rd person singular (he, she, it, a dog, a cat, ชื่อคน, เป็นต้น)

หมายเหตุ: สำหรับหลักการใช้ present simple tense แบบนี้นั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้สมศรีกำลังไปจ่ายตลาดอยู่เราก็สามารถพูดได้ว่า “Somsri teaches English.” เพราะเราบอกเล่าความเป็นจริงในปัจจุบันว่า “สมศรีเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ” หรือ แม้ว่าสมชายกำลังนอนหลับอยู่เราก็สามารถพูดได้ว่า “Somchai drives a bus.” (ความจริงในปัจจุบันคือ “สมชายเป็นคนขับรถโดยสาร”) เพื่อนๆ คงจะไม่งงกันเนาะ

My name is Rattanaporn. I‘m Thai but I live in Perth. However, I love Thailand very much.
ฉันชื่อรัตนาภรณ์ ฉันเป็นคนไทยแต่อาศัยอยู่ที่เมืองเพิร์ธ ถึงกระนั้น ฉันก็รักเมืองไทยมากนะ

ตัวอย่างประโยคข้างบนนี้ก็เป็นการใช้ present simple tense ในประโยคบอกเล่าทั้งหมดเลยนะคะ

จะเห็นได้ว่าการใช้ present simple tense แบบนี้เราไม่จำเป็นต้องระบุเวลาลงไปก็สามารถรู้ได้ว่ามันเป็นความจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

การใช้ Present Simple Tense พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดเป็นประจำ, เกิดขึ้นบ่อยๆ, การกระทำที่ทำเป็นนิสัยเคยชิน ตัวอย่างประโยคเช่น

The shop opens at 5.30 in the morning.
ร้านค้าเปิดเวลาตีห้าครึ่งในตอนเช้า (เป็นประจำ)

Nurses look after patients in hospitals.
พยาบาลดูแลคนไข้ในโรงพยาบาล (เป็นประจำ)

I usually go away at weekends.
ฉันมักจะหลบออกไปตอนสุดสัปดาห์เสมอ

I always study hard for exams.
ฉันมักจะเรียนหนักเสมอเพื่อการสอบ

What time do you usually get up?
ปกติเธอตื่นนอน(ลุกจากที่นอน)ตอนกี่โมง?
I get up at 6 o’clock every morning.
ฉันตื่นนอน(ลุกจากที่นอน)ตอนหกโมงทุกเช้า
(get up หมายถึงตื่นแล้วลุกจากที่นอน ต่างจาก wake up ที่อาจจะตื่นลืมตาขึ้นเฉยๆ แต่ยังนอนเล่นอยู่ ดูเรื่อง get up กับ wake up ใช้ต่างกันอย่างไร)

How often do you go to the dentist?
เธอไปพบหมอฟันบ่อยแค่ไหน?

Tanggwa doesn’t drink tea very often.
แตงกวาไม่ได้ดื่มชาบ่อยมากนัก

ข้อสังเกต: การใช้ present simple tense แบบนี้มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ อย่างเช่น often (บ่อยๆ), always (เสมอๆ), usually (โดยปกติ), every … (ทุกๆ …), seldom (นานๆ ครั้ง), เป็นต้น อยู่ในประโยค (เราใช้คำว่ามักจะมีนะคะ แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องมีคำเหล่านี้อยู่ในประโยคก็ได้แต่เราก็รู้ว่ามันเกิดเป็นประจำอยู่แล้ว)

การใช้ Present Simple Tense พูดถึงความเป็นจริงที่มันเป็นอย่างนั้นมานานแล้ว ตัวอย่างประโยคเช่น

The sun rises in the east and sets in the west.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก

The earth goes round the sun.
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

Water in the waterfall flows from a higher level to the lower level.
น้ำในน้ำตกไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ

Ice is cold but fire is hot.
น้ำแข็งนั้นเย็นแต่ไฟนั้นร้อน

Paris is in France.
เมืองปารีสอยู่ในประเทศฝรั่งเศส

Chiang Mai is the largest city in northern Thailand.
เชียงใหม่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือของไทย

Perth is the capital city of Western Australia.
เมืองเพิร์ธเป็นเมืองหลวงของรัฐเวสเทิร์นในออสเตรเลีย

Birds fly but fishes swim in the water.
นกบินแต่ปลาว่ายในน้ำ

จะเห็นว่าในตัวอย่างประโยค present simple tense ข้างต้น เป็นข้อความที่เป็นจริงเสมอ เป็นความจริงที่เห็นหรือรับรู้ได้และเป็นอยู่อย่างนั้นมาเนิ่นนานแล้ว

การใช้ Present Simple Tense พูดถึงข้อเท็จจริงของกำหนดการในอนาคต (มักเกี่ยวข้องกับตารางงานหรือตารางเวลาที่อัพเดทแล้วมีความเป็นปัจจุบัน)

อ้าว… ไหนบอก present ต้องพูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบันไง แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นเรื่องของอนาคตไปได้ ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ ทำความเข้าใจกับตัวอย่างประโยคและคำอธิบายต่อไปนี้นะคะ

Tomorrow is Monday. พรุ่งนี้เป็นวันจันทร์
เห็นมั๊ยคะว่าแม้ว่าประโยคจะพูดถึงวันพรุ่งนี้ แต่มันเป็นความจริงตามปฏิทินปัจจุบันที่ระบุไว้ว่าพรุ่งนี้ต้องเป็นวันจันทร์ไงคะ ทีนี้คงพอเข้าใจบ้างแล้วเนาะ

ทีนี้ลองดูตัวอย่างประโยคที่ซับซ้อนขึ้นอีกหน่อย

The flight leaves Perth for Bangkok at 9:20 am tomorrow.
เที่ยวบินจะออกจากเพิร์ธไปกรุงเทพฯ เวลาเก้าโมงยี่สิบนาทีเช้าวันพรุ่งนี้
(มีหมายกำหนดการที่เป็นจริงแน่นอนอยู่แล้ว เป็นตารางเวลาที่มีความเป็นปัจจุบัน)

หรือถ้าเรามีหมายกำหนดการที่จะย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ที่แน่นอนอยู่แล้วเราอาจจะพูดว่า

We move into our new home next week.
เราย้ายเข้าบ้านใหม่อาทิตย์หน้า (มักใช้ในการพูดแบบไม่เป็นทางการนัก)
หรืออาจจะใช้ present continuous tense พูดว่า:
We‘re moving into our new home next week.
เราจะย้ายเข้าบ้านใหม่อาทิตย์หน้า (อย่างนี้ดูเป็นทางการมากกว่าค่ะ)

สรุปคือการใช้ present simple tense แบบนี้นั้นเราใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่จะเป็นจริงอย่างแน่นอนตามหมายกำหนดการในอนาคตที่กำหนดเอาไว้แล้วในปัจจุบัน หรือ ตามตารางเวลาที่อัพเดทแล้วมีความเป็นปัจจุบันนั่นเองค่ะ อธิบายแบบนี้เพื่อนๆ คงจะไม่งงกันนะคะ

การใช้ Present Simple Tense พูดว่า “I promise … (สัญญา)”, “I suggest … (เสนอแนะ)”, “I apologise … (ขอโทษ)”, “I advise … (แนะนำ)”, “I insist … (ยืนกราน)”, “I agree … (เห็นด้วย)”, “I refuse (ปฏิเสธ)”, เป็นต้น ตัวอย่างประโยคเช่น

I promise I won’t be late. (ไม่ใช่ I’m promising …)
ฉันสัญญาว่าจะไม่มาสาย

I suggest you should go and see the doctor. (ไม่ใช่ I suggest you to go …
ฉันแนะนำว่าเธอควรไปหาหมอนะ

I apologise for my abruptness.
ขอโทษนะคะที่เข้ามาโดยกะทันหัน

I advise caution.
ฉันขอเตือนนะ

I insist that he should go with us.
ฉันขอยืนยันว่าเขาควรจะไปกับเรา

I agree with you completely.
ฉันเห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่ง

I refuse to accept that.
ฉันไม่ขอรับข้อเสนอนั้น

การใช้ Present Simple Tense กับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ (now) แต่ใช้ได้เฉพาะกับ Non-Continuous Verbs เช่น to like, to love, to hate, to dislike, to fear, to be, to want, to cost, to seem, to need, to care, to own, to belong, เป็นต้น และ Mixed Verbs เช่น to appear, to feel, to have, to hear, to look, to see, to weight, เป็นต้น ปกติการกล่าวถึงเหตุการที่กำลังดำเนินอยู่เราต้องใช้ present continuous tense ใช่ไหมคะ แต่ในกรณีนี้เราสามารถใช้ present simple tense ได้ค่ะ ตัวอย่างประโยคเช่น

I am here now.
ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่แล้ว

She is not here now.
ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่นี่

He needs help right now.
เขาต้องการความช่วยเหลือเดี๋ยวนี้เลย

He does not need help now.
เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือในขณะนี้

He has his passport in his hand.
เขามีพาสปอร์ตอยู่ในมือของเขาแล้ว(ในขณะนี้)

Do you have your passport with you?
คุณมีพาสปอร์ตติดตัวมาด้วย(ในขณะนี้)หรือเปล่า

การใช้ Present Simple Tense กับประโยคปฏิเสธ (negative sentence) เราใช้ don’t / doesn’t เข้ามาเป็นกริยาช่วย ตัวอย่างประโยคเช่น

Tanggwa doesn’t drink tea very often.
แตงกวาไม่ได้ดื่มชาบ่อยมากนัก

I don’t like the food they serve at that restaurant.
ฉันไม่ชอบอาหารที่พวกเค้าเสิร์ฟที่ร้านนั้นเลย

Pranee doesn’t work on Fridays.
ปราณีไม่ได้ทำงานวันศุกร์

My friends don’t usually leave so early.
เพื่อนๆ ของฉันมักจะไม่ออกไปเร็วนัก

I don’t want to go with you!
ฉันไม่ต้องการไปกับคุณ!

การใช้ Present Simple Tense กับประโยคคำถาม ตัวอย่างประโยคเช่น

Yes/No Questions:

Do you walk to school every day?
เธอเดินไปโรงเรียนทุกวันรึเปล่า?

Does your boss give you positive feedback?
เจ้านายของคุณมีความคิดเห็นในเชิงบวกกับคุณหรือไม่?

Does Surachai always turn off the lights?
สุรชัยปิดไฟทุกครั้งหรือไม่?

Don’t you ever clean your room?
เธอไม่เคยทำความสะอาดห้องเลยเหรอ?

Wh-Questions:

When do you want to meet me?
คุณต้องการพบฉันเมื่อไหร่?

Why does he always complain so much?
ทำไมเขามักจะบ่นมากมายอยู่ร่ำไป?

How much does the ticket cost?
ตั๋วราคาเท่าไหร่?

Why don’t you ever go on vacation?
ทำไมเธอไม่ไปเที่ยวพักผ่อนวันหยุดบ้างเลย?

Tag Questions:

Somechai likes me, doesn’t he?
สมชายชอบฉันใช่มั๊ย?

All those girls speak Chinese, don’t they?
เด็กหญิงพวกนั้นพูดภาษาจีนกันหรือ?

Pranee doesn’t speak Chinese, does she?
ปราณีไม่ได้พูดภาษาจีนใช่มั๊ย?

Those boys don’t play sports, do they?
เด็กผู้ชายพวกนั้นไม่ได้เล่นกีฬาใช่มั๊ย?

สรุปหลักการใช้ Present Simple Tense

จะเห็นว่าการใช้ present simple tense นั้นจะเน้นไปที่การพูดถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ มีความเป็นจริงที่แน่นอนและเป็นปัจจุบัน (ซึ่งครอบคลุมถึงหมายกำหนดการที่แน่นอนในอนาคตหรือตารางเวลาที่มีความเป็นปัจจุบันด้วย ดังที่ได้อธิบายถึงไปแล้วข้างต้น) เรามาสรุปโครงสร้างของ Present Simple Tense และ การใช้ Present Simple Tense ในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมกันชัดๆ ดังต่อไปนี้:

โครงสร้างของ Present Simple Tense

– โครงสร้างประโยคของ present simple tense คือ Subject + V1 (+ Object)
– ถ้าประธานเป็น 3rd person singular (he, she, it, a dog, a cat, ชื่อคน, เป็นต้น) เราต้องผันรูปกริยาโดยเติม s เช่น play ผันเป็น plays, เติม es เช่น wash ผันเป็น washes, เติม ies เช่น study ผันเป็น studies
– เราใช้ verb to do (don’t / doesn’t) เข้ามาเป็นกริยาช่วยในประโยคปฏิเสธ
– เราใช้ verb to do (do / does) เข้ามาเป็นกริยาช่วยในประโยคคำถาม

การใช้ Present Simple Tense ในสถานการณ์ต่างๆ

– ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าในปัจจุบัน
– ใช้บอกเล่าถึงความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
– ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดเป็นประจำ, เกิดขึ้นบ่อยๆ, การกระทำที่ทำเป็นนิสัยเคยชิน
– ใช้พูดถึงความเป็นจริงที่มันเป็นอย่างนั้นมานานแล้ว
– ใช้พูดถึงข้อเท็จจริงของกำหนดการในอนาคต (มักเกี่ยวข้องกับตารางงานหรือตารางเวลาที่อัพเดทแล้วมีความเป็นปัจจุบัน)
– ใช้พูดว่า “I promise … (สัญญา)”, “I suggest … (เสนอแนะ)”, “I apologise … (ขอโทษ)”, “I advise … (แนะนำ)”, “I insist … (ยืนกราน)”, “I agree … (เห็นด้วย)”, “I refuse (ปฏิเสธ)”, เป็นต้น
– ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ (now) แต่ใช้ได้เฉพาะกับ Non-Continuous Verbs เช่น to like, to love, to hate, to dislike, to fear, to be, to want, to cost, to seem, to need, to care, to own, to belong, เป็นต้น และ Mixed Verbs เช่น to appear, to feel, to have, to hear, to look, to see, to weight, เป็นต้น

ดูเพิ่มเติมเรื่อง หลักการใช้ Present Simple Tense + Present Continuous Tense และตัวอย่าง

เพื่อนๆ อย่าลืมเข้าไปทำแบบฝึกหัดกันด้วยนะคะ – แบบฝึกหัด Present Simple Tense พร้อมเฉลยและคำอธิบาย

*** ดูเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างประโยค Past Simple Tense – คำอธิบายหลักการใช้อย่างละเอียด
ข้อสอบ/แบบฝึกหัด Past Simple Tense พร้อมเฉลย+คำอธิบายอย่างละเอียด

Tense คืออะไร 12 Tenses เข้าใจง่ายจำง่ายๆไม่ต้องท่อง
โครงสร้าง 12 tenses หลักการและวิธีการใช้ tense ทั้ง 12
หลักการใช้ Present Simple Tense + Present Continuous Tense และตัวอย่าง
หลักการใช้ Present Perfect Tense + Present Perfect Continuous Tense ตัวอย่าง
หลักการใช้ Past Simple Tense ตัวอย่างการใช้ Past Simple Tense
หลักการใช้ Past Perfect Tense + Past Perfect Continuous Tense ตัวอย่าง
หลักการใช้ Simple Future Tense พร้อมตัวอย่าง
หลักการใช้ Future Continuous Tense พร้อมตัวอย่าง
หลักการใช้ Future Perfect Tense พร้อมตัวอย่าง
หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense พร้อมตัวอย่าง