ได้กล่าวถึงงานบุญออกพรรษาไปในบทความก่อนก็อดไม่ได้ที่จะวกมาถึงเรื่อง ปรากฏการณ์ที่น่าอ้ศจรรย์ใจอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในคืนเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา นั่นคือ ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค จะเกิดขึ้นตามลำน้ำโขงบริเวณอำเภอโพนพิสัย และอำเภอใกล้เคียง ของจังหวัดหนองคาย รวมไปถึงฝั่งลาวบ้านพี่เมืองน้องของไทยเรา ซึ่งจะเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินจนถึงเวลาประมาณ 23 นาฬิกา
บั้งไฟพญานาคมีลักษณะเป็นดวงไฟมีสีแดงอมชมพูออกสีบานเย็น หรือสีแดงทับทิม ขนาดเท่าหัวแม่มือไปจนถึงขนาดเท่าไข่ห่านและผลส้ม แต่ไม่มีควัน ไม่มีเขม่า ไม่มีเปลวไฟ ไม่มีเสียง และไม่มีกลิ่นแต่อย่างใด จะเริ่มปรากฏให้เห็นได้ที่ความสูงเหนือผิวน้ำ ตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งสูงขึ้นไปประมาณระดับ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที ก็จะดับหายวับไปในอากาศ ที่น่าประหลาดใจคือ ดวงไฟจะดับหายวับไปในอากาศทันที ทั้งๆ ที่ยังโตอยู่ ไม่ได้ค่อยๆหรี่เล็กลงแล้วดับ และไม่ได้โค้งตกลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกเหมือนพลุหรือดอกไม้ไฟที่คนเราประดิษฐ์ขึ้น
หลังจากได้ค้นหาเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับปรากฏการณ์นี้ ก็ไปเจอตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาเรื่องหนึ่ง จะขอเล่าอย่างย่อๆก็แล้วกัน ตำนานที่ว่าได้ถือกำเนิดเมื่อคืนเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากเทวโลกกลับมาสู่สังกัสสนคร พร้อมด้วยเหล่าเทพเทวา และหมู่พรหม
ครั้นเมื่อพญานาคได้เห็นพุทธานุภาพอันหาประมาณมิได้ในวันนั้น ก็เกิดความเคารพรักและผูกพัน และจากความเคารพรักและผูกพันของพญานาคใต้บาดาลที่อยู่ใต้ท้องน้ำโขงนั่นเอง เมื่อถึงคืนเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี พญานาคก็จะรำลึกถึงอานุภาพของพระพุทธองค์ ในครั้งนั้น แล้วพลันเกิดความปีติโสมนัส จึงปล่อยดวงไฟที่สดสวยงดงามผ่านท้องน้ำ แล้วก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สืบต่อมานานนับกว่าสองพันปี
นั่นก็เป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา แต่ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรก็ยังไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ อย่างไรก็ตาม “รอบรู้ รักเรียน” มีความเห็นว่า ไม่ว่าปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าปรากฏการณ์ที่น่าอ้ศจรรย์ใจนี้ ช่วยส่งเสริมและจรรโลงพระพุทธศาสนาไม่ใช่น้อยเลย เพื่อนๆว่าจริงไหมคะ